การ์ดแสดงผล (Display Card)
คอมพิวเตอร์มีบทบาทที่สำคัญในการประยุกต์ใช้งานด้านต่าง
ๆ สิ่งที่มีบทบาทสำคัญอย่างหนึ่งในรูปแบบการประยุกต์ใช้งานคือ การแสดงผล
หากย้อนรอยในอดีตคงจำได้ว่าการแสดงผลในยุคแรกที่ใช้กับเครื่องรุ่น 8 บิต และรุ่น
16 บิต ยุคต้นที่ใช้โอเอสดอส ยังเป็นการแสดงผลด้วยเท็กซ์โหมด
การแสดงผลในรูปแบบตัวอักษรใช้กันมานานพอควร จอภาพแสดงตัวอักษรได้เพียง 25
บรรทัด บรรทัดละ 80 ตัวอักษร ครั้นจะแสดงกราฟิกส์ก็ได้ความละเอียดของการแสดงผลจำกัด
การแสดงสีก็มีจำนวนสีได้จำกัด ครั้นถึงยุคสมัยการใช้ระบบปฏิบัติการวินโดว์
ซึ่งอยู่ในช่วงระยะเวลาประมาณสิบปีที่ผ่านมานี้เอง (วินโดว์ 95 ใช้กันราวปี 1995)
การแสดงผลได้เปลี่ยนยุคมาเป็นการแสดงผลแบบกราฟิกส์ ความต้องการเรื่องการแสดงผลจึงเปลี่ยนแปลงโดยใช้เทคโนโลยีพิเศษสำหรับการแสดงผล
มีการพัฒนาระบบการแสดงผลให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ
โดยเฉพาะการตอบสนองการแสดงผลที่ต้องแสดงรูปภาพเคลื่อนไหวรูปภาพสามมิติ (3D) รวมทั้งการจัดการประมวลผลภาพแบบต่าง ๆ อีกมากมาย ทั้งนี้เพราะการประยุกต์ทางกราฟิกส์เป็นความต้องการของผู้ใช้คอมพิวเตอร์
ตั้งแต่การใช้เล่นเกม การแสดงผลงานทางธุรกิจ การออกแบบทางวิศวกรรม
การเชื่อมต่อเพื่อแสดงผลภาพ วิดีโอ การแสดงผลภาพเคลื่อนไหวต่าง ๆ
เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องการความรวดเร็วของการประมวลผล และต้องการเทคนิคพิเศษต่าง ๆ
เพิ่มเติม ความเป็นมา จุดเริ่มต้นของการแสดงผลเริ่มจากการส่งตัวอักษร
ซึ่งเป็นสายอักขระมาที่อุปกรณ์เอาท์พุต
อุปกรณ์เริ่มแรกจึงมีลักษณะการพิมพ์แสดงผลที่เรียกว่า เทเลไทป์ (teletype) ลักษณะของเทเลไทป์ จึงมีแป้นพิมพ์
และตัวพิมพ์ในลักษณะเครื่องพิมพ์แบบดอตแมทริกซ์รวมกัน
ต่อมามีการพัฒนาให้เป็นการแสดงผลบนจอหรือที่เรียกว่า วิดีโอดาต้าเทอร์มินอล
มีลักษณะการแสดงผลบนจอภาพ และมีแป้นพิมพ์ (คีย์บอร์ด) ที่ป้อนตัวอักษรได้ด้วย
อุปกรณ์นี้จึงมีชื่ออีกอย่างว่า ดัมบ์เทอร์มินอล (dump terminal) เพราะใช้แสดงผลตามข้อมูลสายอักขระที่ส่งมาเท่านั้น
และแสดงผลเป็นบรรทัดเรียงกันไป
ครั้นถึงยุคสมัยพีซี
จึงต้องทำพีซีให้กระทัดรัด ใช้งานง่าย ราคาถูก
อุปกรณ์แสดงผลด้วยจอภาพและแป้นพิมพ์จึงเป็นอุปกรณ์สำคัญของพีซีด้วย
เมื่อไอบีเอ็มพัฒนาพีซีขึ้นในปี ค.ศ. 1981 ไอบีเอ็มได้พัฒนาวงจรเชื่อมต่อกับจอมอนิเตอร์เป็นแบบการแสดงผลตัวอักษร
และแสดงผลได้สีเดียว และให้ชื่อวงจรเชื่อมต่อนี้ว่า MDA-Monochrome
Display Adapter ถัดจากนั้นอีกหนึ่งปีก็พัฒนาการแสดงผลแบบสี
ซึ่งแสดงผลทั้งแบบตัวอักษรและโหมดกราฟิกส์ วงจรเชื่อมต่อแบบใหม่มีชื่อว่า CGA-Color
Graphic Adapter ด้วยความต้องการแสดงผลเชิงรูปภาพแบบกราฟิกส์
และการแสดงผลแบบสีเป็นความต้องการ ประจวบกับเทคโนโลยีการแสดงผลได้พัฒนามาเป็นลำดับ
ในปี 1984 ไอบีเอ็มได้พัฒนาระบบการแสดงผลที่ขยายขีดความสามารถเดิมของ CGA ออกไป และให้ชื่อว่า EGA-Enhance Graphic Adapter หลังจากนั้นอีกไม่กี่ปี
ก็พัฒนาระบบการแสดงผลกราฟิกส์ที่เป็นรากฐานสำหรับเทคโนโลยีการแสดงผล
โดยใช้ชื่อเทคโนโลยีว่า VGA-Video Graphic Array
ในปี 1990
การแสดงผลเข้าสู่ความละเอียดและการแสดงสีสูงขึ้น โดยสามารถแสดงผลที่ความละเอียด
1024x768 จุดสี และเรียกเทคโนโลยีนี้ว่า XGA-Entended
Graphic Array อย่างไรก็ดีในยุคต้นนี้
การแสดงผลส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ที่ 800x600 จุดสี
เพื่อที่จะใช้ได้กับจอภาพที่มีความละเอียดได้ขนาดนี้
หลักการพื้นฐานของการแสดงผลบนจอภาพจำเป็นต้องมีหน่วยความจำที่ใช้สำหรับแสดงผลที่เรียกว่า
วิดีโอแรม หน่วยความจำนี้เป็นที่เก็บข้อมูลแสดงผลบนจอ
ดังนั้นจึงต้องมีขนาดพอเพียงกับการนำมาแสดงผล และจะต้องเป็นหน่วยความจำที่เข้าถึง
และเรียกข้อมูลออกมาแสดงผลได้เร็ว
การจัดการหน่วยความจำส่วนนี้จะประกอบด้วยอุปกรณ์ควบคุมพิเศษแยกจากซีพียู
ซึ่งในระยะหลังได้พัฒนาตัวควบคุมการแสดงผลให้มีขีดความสามารถพิเศษ
และเป็นเสมือนซีพียูจัดการกราฟิกส์ที่เรียกว่า Graphic
co-processor มีบริษัทชั้นนำหลายแห่งพัฒนาและออกแบบชิพจัดการภาคแสดงนี้
1) บล็อกไดอะแกรมของการเชื่อมต่อเพื่อแสดงผล
การแสดงผลด้วยหลักการเดิม
ชิพกราฟิกส์หรือตัวประมวลผลกราฟิกส์จะจัดการกับวิดีโอแรม
ซึ่งหน่วยความจำนี้เริ่มจากการอยู่ร่วมกับหน่วยความจำหลัก
หน่วยการแสดงผลบางรุ่นเชื่อมต่อเข้าสู่บัสทางสล็อตของ ISA หรือ PCI แต่ถึงแม้ว่า PCI จะมีความเร็วในการรับส่งข้อมูลสูงแล้ว
แต่ก็ยังไม่พอเพียงต่อการใช้งานในยุคใหม่ ดังนั้นจึงต้องออกแบบพอร์ตพิเศษสำหรับการส่งรับข้อมูลระหว่างหน่วยความจำเป็นกรณีพิเศษ
และให้ชื่อพอร์ตสำหรับการเชื่อมต่อกับการ์ดแสดงผลนี้ว่า AGP-Advanced
Graphic Port ชนิดของการ์ดแสดงผล
การ์ดแสดงผลเป็นตัวแปรหนึ่งสำหรับการเลือกซื้อพีซี
การ์ดแสดงผลทำให้ขีดความสามารถบางอย่างของเครื่องคอมพิวเตอร์แตกต่างกันออกไป
โดยเฉพาะหากต้องการเล่นเกม และเป็นเกมที่เน้นการแสดงผลแบบ 3D การ์ดแสดงผลจะมีผลอย่างมาก
ชนิดของการ์ดแสดงผลมีหลายแบบตามเทคโนโลยีที่พัฒนา และเมื่อมีเทคโนโลยีที่ดีขึ้น
ของเก่าก็ล้าสมัย และในที่สุดก็ไม่มีผู้ผลิต ชนิดของการ์ดมีดังนี้
การ์ดวีจีเอ (VGA) เป็นการ์ดรุ่นแรกที่ทำตามมาตรฐาน VGA มีการเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบทาง ISA การแสดงผลจึงเป็นการแสดงผลที่มีข้อจำกัดในเรื่องการส่งรับข้อมูลจำนวนมาก
ปัจจุบันไม่มีจำหน่ายแล้ว แต่จะมีใช้ในพีซีรุ่นเก่า
การ์ดซูเปอร์วีจีเอ (Super
VGA) เป็นการ์ดที่ผลิตตามมาตรฐานของ VESA-Video
Electronic Standard Association ซึ่งเป็นสมาคมที่จัดตั้งขึ้นมาวางมาตรฐานกลางการแสดงผลเพื่อให้มีความเข้ากันได้
โดยเฉพาะเมื่อผลิตและพัฒนามาจากหลากหลายบริษัท
การ์ดวิดีโอที่ใช้กันในรุ่นแรกก็เป็นไปตาม VESA นี้
การ์ดที่ใช้ตัวเร่งกราฟิกส์ (Graphic Accelerator) เป็นการ์ดที่พัฒนามาจากบริษัทชั้นนำทางด้านการผลิตการ์ดวิดีโอนี้
มีการพัฒนาซีพียูแบบ co-processor ใช้บนบอร์ด
เพื่อเพิ่มความเร็วการแสดงผลกราฟิกส์ การ์ดตัวเร่งกราฟิกส์นี้
ทำงานได้ดีกับคำสั่งพิเศษที่เขียนภาพแบบ 2D และเป็นภาพที่แสดงผลด้วยความละเอียดสูง
การ์ดตัวเร่ง 3D บริษัทชั้นนำหลายบริษัทได้พัฒนาเทคโนโลยีขึ้นใช้โดยเน้นการแสดงภาพสามมิติ
ซึ่งมีคำสั่งสนับสนุนการทำงานแบบภาพสามมิติ
การ์ดแสดงผลแบบนี้จึงต้องทำงานด้วยความเร็วสูง และก็มีราคาแพงขึ้น เช่น การ์ด GeForce,
Voodoo เป็นต้น
2) ประเภทการ์ดจอ
อุปกรณ์ตัวนี้เป็นตัวสำคัญในการกำหนดว่าจะมีอะไรไปออกที่จอภาพได้บ้าง รวมไปถึงความละเอียดและสีที่จะแสดงออกบนจอภาพ
ซึ่งจะขึ้นอยู่กับโครงสร้างของวงจรบนการ์ด และมีส่วน
สัมพันธ์กับชอฟต์แวร์ที่จะให้ในการแสดงผลเป็นอย่างมาก
ต่อไปนี้เราจะมาทำความรู้จักกับการ์ดแสดงผลในแต่ละแบบโดยเริ่มกันที่การ์ดแสดงผลรุ่นบุกเบิกของไอบีเอ็มคือ MDA
MDA (Monochrome Display Adapter) เป็นการ์ดแสดงผลรุ่นแรกของไอบีเอ็ม
นิยมใช้กับจอโมโนโครมสามารถแสดงผลได้เฉพาะข้อความ (text) เท่านั้น และแสดงได้เพียงสีเดียวไม่สามารถแสดงรูปกราฟิกใด ๆ ได้
เนื่องจากเป็นข้อจำกัดของการ์ดแสดงผลเอง ปัจจุบันนี้แทบจะไม่มีใช้กันแล้ว
เพราะว่าชอฟต์แวร์ปัจจุบันส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การแสดงผลกราฟิกและสีสันที่สวยงาม
CGA (Color Graphics Adapter) เป็นการ์ดรุ่นถัดมาของไอบีเอ็มที่สามารถแสดงได้ทั้งข้อความและรูปภาพ
โดยสีที่แสดงจะได้สูงสุดถึง 16
สี แต่จะขึ้นอยู่กับความละเอียดในการแสดงผลด้วยกล่าวคือ
ถ้าความละเอียดในการแสดงผลมาก จำนวนสีที่แสดงได้ก็น้อยลง เช่น
ถ้ามีความ-ละเอียดในการแสดงผลสูงสุด 640 X 200 จุด จะสามารถแสดงสีได้เพียง 2 สีเท่านั้น
คือขาวกับดำแต่ถ้าเป็นความละเอียด 320 X 200 จุด ก็จะแสดงสีได้ 4 สี เป็นต้น
ทั้งนี้เนื่องมาจากหน่วยความจำบนการ์ดมีอยู่อย่างจำกัดหน่วยความจำที่ว่านี้ก็คือวิดีโอแรมที่ใช้เก็บรูปภาพบนจอ
ถ้านำหน่วยความจำนี้ไปใช้ในการเก็บสีจำนวนมากแล้ว
ก็จะเหลือหน่วยความจำที่ใช้เก็บรูปภาพได้น้อยลงดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ถ้าความละเอียดในการแสดงผลสูงขึ้นจำนวนสีที่แสดงได้ก็จะน้อยลง
เฮอร์คิวลิส
(hercules) สืบเนื่องจากข้อจำกัดของการ์ดแสดงผลแบบ MDA ที่แสดงผลได้เฉพาะข้อความบนจอโมโนโครมเท่านั้น การที่จะเปลี่ยนไปใช้การ์ดแสดงผลแบบ CGA เพื่อให้สามารถแสดงรูปภาพที่เป็นกราฟิกได้ก็จำเป็นต้องไปหาซื้อจอสีมาใช้
ซึ่งจะมีราคาสูงกว่าจอโมโนโครมมากพอสมควร ดังนั้นจึงมีผู้คิดค้นพัฒนาการ์ดแสดงผลอีกแบบหนึ่งขึ้นมาเพื่อให้สามารถแสดงผลทั้งข้อความและรูปภาพบนจอโมโนโครมได้
การ์ดที่ว่านี้ก็คือการ์ดเฮอร์คิวลิส ซึ่งคิดค้นโดยบริษัทเฮอร์คิวลิสเทคโนโลยี
แล้วการ์ดแสดงผลแบบเฮอร์คิวลิสหรืออาจจะเรียกกันในชื่อโมโนโครมกราฟิกอะแดปเตอร์ที่เรียกกันเช่นนี้ก็เนื่องจากหน่วยความจำบนการ์ดสูงมากถึง
64 กิโลไบต์ ซึ่งเพียงพอสำหรับการทำเป็นวิดีโอแรมทั้งสำหรับการใช้งานในโหมดของข้อความและรูปภาพพร้อม
ๆ กัน ซึ่งปัจจุบันนี้การ์ดชนิดนี้ได้กลายเป็นมาตรฐานสำหรับจอโมโนโครมไป
EGA เมื่อชอฟต์แวร์ทางด้านกราฟิกต้องการอุปกรณ์แสดงผลที่มีความละเอียดสูงขึ้นและแสดงสีได้มากขึ้น
ซึ่งการ์ดแสดงผลแบบ CGA ไม่สามารถรองรับงานแบบนี้ได้
ไอบีเอ็มจึงได้ออกการ์ดแสดงผลแบบใหม่ที่เรียกว่า EGA
(Enhanced Graphic Adapter) การ์ดรุ่นใหม่นี้มีความสามารถที่สูงขึ้นกว่าการ์ด CGA มากนัก กล่าวคือ มีหน่วยความจำบนการ์ด 128
กิโลไบต์ หรืออาจจะติดตั้งได้ถึง 256
กิโลไบต์ ความละเอียดในการแสดงผลสูงถึง 640 X 350 จุด แสดงสีได้พร้อมกัน 16 สีจากที่มีให้เลือก 64 สี การ์ดรุ่นใหม่นี้ต้องใช้กับจอ EGA ของไอบีเอ็ม หรืออาจจะเป็นจอสียี่ห้ออื่นที่สนับสนุนการ์ดแสดงผลแบบ EGA ก็ได้การ์ดแสดงผลแบบ EGA นี้
นอกจากจะทำงานในลักษณะที่มีความละเอียดและจำนวนสีสูงกว่าการ์ด CGA แล้ว ยังสามารถทำงานเลียนแบบหรือแทนการ์ดแบบ CGA ได้อีกด้วยบรรดาขอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้นมาเพื่อใช้แสดงผลออกมาทางการ์ CGA สามารถนำมาใช้กับ EGA ได้ด้วยแต่อาจจะไม่เสมอไป
เนื่องจากวงจรภายในของการ์ด EGA มีชิปไอซีที่แตกต่างไปจากการ์ CGA ทำให้การทำงานภายในแตกต่างกัน
โดยทั้งนี้ภายในการ์ด EGA จะมีโปรแกรมไบออสที่คอยควบคุมการทำงาน
โปรแกรมตัวนี้จะจัดการปรับการทำงานกับวงจรภายในตการ์ด EGA ให้เข้ากับโปรแกรมที่ทำมาสำหรับการ์ด CGA ได้ แต่ทั้งนี้โปรแกรมนั้น ๆ
จะต้องส่งข้อมูลออกทางจอภาพผ่านไบออสนี้เท่านั้น ถ้าเป็นการเขียนข้อมูลลงวิดีโอแรมโดยตรงเพื่อแสดงผลโดยไม่มีการเรียกใช้ไบออสก็จะเกดความไม่เข้ากันทำให้ใช้งานไม่ได้การ์ดขนิดนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในสมัยหนึ่ง
จนทำให้มีผู้ผลิตการ์ดขนิดนี้ตามออกมาอย่างมากมาย โดยพยายมปรับปรุงรายละเอียดต่าง ๆ ให้ดีขึ้นกว่าของไอบีเอ็ม เช่น
ทำให้มีขนาดเล็กลงความละเอียดในการแสดงผลที่สูงขึ้น
และในราคาที่ต่ำกว่าของไอบีเอ็ม
PGA (Professional Graphic Adapter) เป็นการ์ดแสดงผลอีกรุ่นหนึ่งของไอบีเอ็ม ที่มีความสามารถในการแสดงผลสูงกว่า EGA โดยสามารถแสดงสีได้ 256 สีพร้อมกันจากทั้งหมด 4096 สี ความละเอียดถึง 640 X 480 จุด การ์ดชนิดนี้ถูกออกแบบมาสำหรับจอ PGA โดยเฉพาะ เหมาะสำหรับใช้งานกับโปรแกรมที่เน้นทางด้านกราฟิก เช่น CAD/CAM หรือโปรแกรมวาดรูปต่าง ๆ ถ้าจะสังเกตให้ดี คุณภาพของการ์ดนี้จะพอ ๆ
กับการ์ดแบบ EGA ของบริษัทอื่นที่ไม่ใช่ไอบีเอ็ม
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความละเอียดหรือสีดังนั้นการ์ดขนิดนี้จึงไม่แพร่หลายเท่าที่ควร
โดย-เฉพาะในบ้านเราจะไม่ค่อยได้ยินชื่อการ์ดชนิดนี้กันมากนัก
MCGA (Multi-Color Graphics Array) เป็นการ์ดแสดงผลรุ่นใหม่ที่ไอบีเอ็มออกมาเพื่อให้ใช้งานกับเครื่อง PS/2 ในรุ่นเล็ก ๆ (model 25 และ 30) ความสามารถในการแสดงผลจะสูงกว่าEGA คือความละเอียดสูงถึง 640 X 480 จุด แสดงสีได้ 2 สี แต่ถ้าเป็นโหมดความละเอียด320 X 200 จุด จะสามารถแสดงสีได้ถึง 256 สี การ์ดชนิดนี้สามารถทำได้ทุกอย่างเทียบเท่ากับการ์ด แต่จะยกเว้นเพียงบางโหมของ EGA เท่านั้น
VGA (Video Graphics Array) เป็นการ์ดแสดงผลสำหรับเครื่อง PS/2
อีกรุ่นหนึ่งที่มีความสามารถสูงกว่า MCGA โดยสามารถแสดงสีได้ถึง 16 สี ที่ความละเอียด 640 X 480 จุดหรือจะเลือกความละเอียด
320 X 200 จุด ซึ่งเลือกสีได้มากถึง 256 สี การออกแบบการ์ด VGAนั้นมุ่งเน้นไปที่ให้มีความสามารถในการรองรับการแสดงผลทุกชนิดไม่ว่าจะเป็น CGA หรือ EGA ดังนั้น
ชอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้นมาเพื่อให้ใช้กับการ์ดแสดงผลแบบ CGA และ EGA จึงสามารถนำมาใช้กับ VGA ได้ และคุณภาพของภาพก็จะดีกว่าด้วย การ์ดแสดงผลแบบ VGA นี้ได้รับความนิยมอย่างสูง จนมีบรรดาผู้ผลิตรายอื่น
ๆหันมาผลิตการ์ดที่คอมแพตกับไอบีเอ็มมากขึ้น จนอาจกล่าวได้ว่าปัจจุบัน VGA ได้กลายเป็นมาตรฐานของการแสดงผลไปแล้ว โดยจะเห็นได้จากเครื่องพีซีหลาย
ๆ ยี่ห้อได้สร้างการ์ด VGA ติดมากับเมนบอร์ดเลย
ทำให้มาตรฐานการแสดงผลเป็นแบบ VGA ไปโดยปริยาย
Super VGA มักจะมีการกล่าวถึง Super
VGA .ในทางช่วยส่งเสริม เช่น
มีสีมากขึ้นหรือมีความละเอียดสูงขึ้น
ซึ่งช่วยให้มั่นใจในความเข้ากันได้กับ VGA คำแนะนำของ VESA คือจะต้องมีความละเอียด
800 X 600 และ 16 สี
แต่ผู้ผลิตมักจะผลิตบอร์ดที่มี256 สี
หรืออาจจะกล่าวถึงบอร์ดที่ให้ความละเอียด 1,024 X 768
ว่าเป็น Super VGA อย่างไรก็ดี
ก็มีปัญหาคือจำนวนมาตรฐานของการแสดงภาพกราฟิกที่มีอยู่มากมาย
มาตรฐาน VGA เองจะรวมโหมดการแสดงผลไว้
17 โหมด ซึ่งเป็นวิธีการต่าง
ๆ ในการแสดงภาพบนจอโหมดเหล่านี้ส่วนมากจะเข้ากันได้ย้อนหลังกับมาตรฐานก่อน ๆ
ที่มีความสำคัญมากคือ colorgraphics adapter (CGA) enhanced
graphics adapter (EGA) และ monochrome
display adapter (MDA) ถ้าตัดมาตรฐานก่อน
ๆ ออก ก็จะเหลือ Super VGA (ใช้เป็นมาตรฐานที่ไม่ค่อยมาตรฐานนัก)
อะแดปเตอร์ 8511/A ของ IBM สำหรับเครื่อง MCA และมาตรฐาน extended graphics array
(XGA) ของ IBM มาตรฐานเหล่านี้ทั้งหมดให้สีหรือความละเอียดสูงกว่า VGA นั่นไม่ได้รวมอะแดปเตอร์ต่าง ๆ ที่ใชิป continonous edge
graphics (CEG) ใหม่ ซึ่งกล่าวไว้ว่าจะให้สีมากกว่า
740,000 สีบนจอภาพของคุณในเวลาเดียวกัน
และมากเป็นพิเศษดได้แม้แต่บนการ์ดความละเอียด 1,600 X 1,200
จุดก็ยังสามารถให้สีได้มากกว่าล้านสีก่อนที่คุณจะผลุนผลันออกไปซื้ออะแดปเตอร์แสดงผล
มีสิ่งที่ควรจำไว้หนึ่งข้อนั่นคือชอฟต์แวร์ ชอฟต์แวร์ใหม่ส่วนมากจะรวมส่วนสนับสนหุนสำหรับโหมด VGA มาตรฐานกับการ์ดแสดงผลอื่น ๆ คุณได้แต่หวังว่าผู้ผลิตจะรวมไดรเวอร์
สำหรับชอฟต์แวร์ให้ด้วย เรื่องนี้อาจจะไม่เป็นปัญหา
ถ้าคุณใช้ Lotus 1-2-3 Auto CAD, Windows หรือ Ventura
Publisher นอกเหนือจากพวกนี้
คุณจะต้องมั่นใจว่าผู้ผลิตจัดเตรียมไดรเวอร์ที่คุณต้องการให้ก่อนที่คุณจะซื้อการ์ดใหม่เรื่องแบบนี้มีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน
ดังนั้นถามไว้เสมอว่ารวมไดรเวอร์ให้ด้วยแล้วเรื่องสำคัญที่ออกมาอีกเรื่องหนึ่งคือ
จอภาพที่คุณมีอยู่สามารถที่จะสนับสนุนความละเอียดที่สูงกว่าซึ่งมีอยู่ในการ์ดหรือไม่
ถ้าคุณมีจอภาพแบบ CGA หรือ EGA คอมแพติเบิล คุณมีโอกาสที่จะต้องใข้จอภาพใหม่เพื่อเอาส่วนดีของ VGA หรือบอร์ดแสดงผลที่ดีกว่ามาใช้งานจอภาพรุ่นเก่าใช้ดิจิตอลอินเตอร์เฟช
ในขณะที่ VGA ต้องการแอนะล็อกอินเตอร์เฟช
มีเพียงจอภาพหลายความถึ่เท่านั้นที่ให้คุณใช้ได้ทั้งระบบดิจิตอลและแอนะล็อก
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจอภาพหลายความถี่ทุกเครื่องจะทำงานกับการ์ด VGA ได้ จอภาพต้องทำงานได้ภายในความถี่ที่สแกนในแนวนอนและแนวตั้งที่มาตรฐานต้องการและคุณตั้งใจจะใช้
(ดูบทที่ 4 เรื่องจอภาพและความต้องการต่าง
ๆ) 8514/A ชื่อ 8514
นั้นเป็นชื่อจอภาพรุ่นหนึ่งของไอบีเอ็ม ในปี ค.ศ. 1987 ดังนั้น
การ์ดแสดงผลแบบนี้จึงใข้เฉพาะในเครื่องตระกูล PS/2
รุ่นสูง ๆ ของไอบีเอ็มเท่านั้น การ์ด
แสดงผลชนิดนี้จะมีความละเอียดที่สูงกว่า VGA ขึ้นไปอีก โดยสามารถแสดงสีได้สูงสุด 256
สีที่ความละเอียด 1024 X 768 จุด
การ์ดรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ไอบีเอ็มหมายมั่นปั้นมือจะให้มาแทน VGA ในเครื่อง PS/2รุ่นใหม่ ๆ
แต่ข้อเสียที่ให้อภัยไม่ได้ของ 8514/A ก็คือ ไม่คอมแพทิเบิลกับ VGA ทำให้ชอฟต์แวร์ต่าง
ๆ ที่พัฒนาขึ้นมาบน VGA นำมาใช้กับ
8514/A ได้น้อยมาก
ดังนั้นไอบีเอ็มจึงได้พัฒนาการ์ดแสดงผลแบบใหม่ที่จะมาใช้กับเครี่อง PS/2 รุ่นสูง ๆ โดยใช้ชื่อว่า XGA
XGA ถือได้ว่าเป็นมาตรฐานใหม่ของการแสดงบนเครื่อง PS/2 รุ่นใหม่ เช่น
ในโมเดลสูง ๆ การ์ดชนิดนี้จะมีความคอมแพตกับ VGA เต็ม 100 % จึงสามารถนำชอฟต์แวร์ของเดิมมาใช้ได้ทันที่
นอกจากจะคงความคอมแพตแล้ว XGA ยังได้เพิ่มความสามารถพิเศษหลาย
ๆ อย่างเข้าไปอีก จึงทำให้ XGA เหมาะสำหรับการติดตั้งเข้ากับเมนบอร์ดของเครื่องPS/2
รุ่นสูง ๆ จึงอาจกล่าวได้ว่า XGA เป็นการรวมเอาความสามารถของ VGA และ 8514/A เข้าไว้ด้วยกัน การพัฒนาการ์ด XGA นั้นมุ่งหน้นให้คงความคอมแพตกับ VGA เพื่อให้ชอฟต์แวร์เดิม ๆ ที่พัฒนามาบน VGA สามารถนำมาใช้กับ XGA ได้ทันที
นอกจากนั้นยังได้เพิ่มการควบคุมบัสแบบใหม่เพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์จากบัสแบบ MCA ได้อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งใช้
ฮาร์ดแวร์เคอร์เชอร์ที่ให้ผู้ใช้ใช้งานได้อย่างคล่องตัวมากขึ้น
รวมทั้งไอบีเอ็มยังได้จัดเตรียมรายละเอียดการใช้งานและคุณสมบัติของ XGA เอาไว้อย่างละเอียด ซึ่งผู้พัฒนาชอฟต์แวร์สามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในการเขียนแอพพลิเคชันเพื่อรองรับการทำงานกับ XGA ได้ การทำงานของ XGA จะแบ่งออกเป็น
3 แบบที่ต่างกัน คือ VGA ปกติ VGA
แบบ 132
คอลัมน์และ XGA การทำงานในโหมดของ VGA นั้นจะเหมือนกับ VGA การ์ดทุกประการ
เพียงแต่เพิ่มเติมอินเทอร์นัลไรท์แคช internal write
cache) ที่ทำหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์ให้กับซีพียูไว้สำหรับพักข้อมูลในขณะที่ทำการเขี่ยนข้อมูลลงบนจอภาพ
ทำให้การทำงานของ XGA สูงกว่าการ์ด VGA การ์ดโดยทั่วไปจากการทดสอบของไอบีเอ็มพบว่าเมื่อ XGA ทำงานในแบบการ์ด VGA จะเร็วกว่าการ์ด VGA แบบเดิมถึง 20 % ในดอส
หรือเร็วขึ้นประมาณ 50 % ในไมโครชอฟต์วินโดว์ นอกจากความเร็วที่สูงขึ้นแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างจะยังคงเหมือนกับ VGA ทุกประการสำหรับการทำงานในโหมดของ XGA นั้น จะมีความละเอียดและจำนวนสีที่มากกว่าการ์ด VGA โดยจะมีจำนวนสีถึง 65,536
สี ความละเอียดสูงสุด 1024 X 768 จุด
ความสามารถอื่นที่เพิ่มเข้ามาคือฟังก์ชันการควบคุมบัส ความเร็วในการวาดภาพสูงขึ้น
และมีฮาร์ด
แวร์เคอร์เชอร์ พร้อมทั้งหน่วยประมวลผลร่วมทางด้านกราฟิกทำให้สามารถสร้างภาพกราฟิกได้เร็วขึ้น
จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับงานด้านกราฟิกที่ต้องการความเร็วและความละเอียดสูง
ๆความละเอียดของกราฟิกใน XGA เลือกได้จาก
640 X 480 จุด หรือ 1024 X 768 จุดซึ่งจะต้องมีหน่วยความจำในส่วนของวิดีโอแรมขนาด
1 เมกะไบต์ เพื่อรองรับความละเอียดและจำนวนสีระดับนี้ให้ได้ปัญหาอย่างหนึ่งของการพัฒนาโปรแกรมในแบบมัลติทาสกิง
ก็คือ การเก็บสภาวะ
ของจอเมื่อมีการสวิตช์ไปมาระหว่างโปรแกรมต่าง
ๆ XGA ได้แก้ปัญาหานี้โดยออกแบบให้มีฟังก์ชันในการเก็บสภาวะของจอและการดึงสภาวะเดิมกลับมาไว้ในตัว
ทำให้การพัฒนาโปรแกรมบันมัลติทาสกิงทำได้ง่ายขึ้น นอกจากนั้น XGA ยังสามารถกำหนดหน่วยความจำบนจอภาพให้มีตำแหน่งตรงกับหน่วยความจำของซีพียูเพื่อเให้ซีพียูสามารถใช้หน่วยความจำนั้นวาดภาพและแก้ไขได้โดยไม่ต้องคัดลอกไปมาระหว่างจอภาพกับหน่วยความจำ
เป็นผลให้ความเร็วในการทำงานสูงกว่าปกติขึ้นอีกมาก
ส่วนประกอบการ์ดจอ
ส่วนประกอบการ์ดจอ
อินเตอร์เฟส (Interface) หรือระบบบัสของตัวการ์ด
เป็นส่วนที่ใช่เชื่อมต่อเข้ากับระบบบัสที่อยู่บนเมนบอร์ด
มีลักษณธเป็นแถบทองแดงยื่นออกมาด้านข้างของตัวการ์ด ใช้เสียบลงบนช่องเสียบ (Slot) บนเมนบอร์ดที่เป็นชนิดเดียวกันกับตัวการ์ด
ปัจจุบันการ์ดจอมีอินเตอร์เฟสให้เลือกใช้อยู่ 2 แบบคือ AGP และ PCI Express ซึ้งมีรายระเอียดดังนี้
AGP (Accelerated Graphic Port)
เป็นระบบบัสที่มีความถี่ในการทำงานที่ 66.6 MHz ด้วยความกว้างบัสขนาด 32 บิตมาตรฐานเริ่มต้นคือ AGP
1X ซึ่งให้ Bandowidth ที่ 266
MB/sec (โดยประมาณ)
แต่สำหรับมาตรฐานล่าสุดที่ใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันคือ AGP 8X ซึ่งให้ Banidth สูงสุดที่ 2132
MB/sec หรือ 213 GB/sec
AGP (Accelerated Graphic Port)
PCIExpress
เป็นมาตรฐานของระบบบัสแบบใหม่ที่ใช้วิธีการรับส่งข้อมูลกันในแบบอนุกรม (Serial) สองทิศทางทั้งไปและกลับ ซึ่งถูกออกแบบให้เลือกใช้ความเร็วมากน้อยได้ตามต้องการของอุปกรณ์แต่ละชนิด และยังให้แบนด์ดิวธ์ (Bandwidth) เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว โดยมาตรฐานเริ่มต้นคือ PCI Express x1 (นำมาใช้แทน PCI เดิม) ให้แบนด์วิดธ์ทั้งไปและกลับรวมกันสูงสุด 500 MB/sec แต่สำหรับมาตรฐานล่าสุดที่ใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันคือ PCI Express x16 (ใช้แทน AGP เดิม) นั้น ให้แบนด์วิดธ์ทั้งไปและกลับรวมกันสูงสุดมากถึง 8000 MB/sec หรือ 8 GB/sec เลยทีเดียวนอกจากนี้บนเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆหลายรุ่นยังรองรับเทคโนโลยี SLI(Scalable Link Interface multi-GPU Technology) โดยมีการติดตั้งสล็อตแบบ PCI Express x16 นี้มาให้พร้อมกันถึง 2 ตัวเพื่อช้วยเพิ่มประสิทภาพในการประมวลผลกราฟิกให้สูงขึ้นอีกด้วย
เป็นมาตรฐานของระบบบัสแบบใหม่ที่ใช้วิธีการรับส่งข้อมูลกันในแบบอนุกรม (Serial) สองทิศทางทั้งไปและกลับ ซึ่งถูกออกแบบให้เลือกใช้ความเร็วมากน้อยได้ตามต้องการของอุปกรณ์แต่ละชนิด และยังให้แบนด์ดิวธ์ (Bandwidth) เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว โดยมาตรฐานเริ่มต้นคือ PCI Express x1 (นำมาใช้แทน PCI เดิม) ให้แบนด์วิดธ์ทั้งไปและกลับรวมกันสูงสุด 500 MB/sec แต่สำหรับมาตรฐานล่าสุดที่ใช้งานกันอยู่ในปัจจุบันคือ PCI Express x16 (ใช้แทน AGP เดิม) นั้น ให้แบนด์วิดธ์ทั้งไปและกลับรวมกันสูงสุดมากถึง 8000 MB/sec หรือ 8 GB/sec เลยทีเดียวนอกจากนี้บนเมนบอร์ดรุ่นใหม่ๆหลายรุ่นยังรองรับเทคโนโลยี SLI(Scalable Link Interface multi-GPU Technology) โดยมีการติดตั้งสล็อตแบบ PCI Express x16 นี้มาให้พร้อมกันถึง 2 ตัวเพื่อช้วยเพิ่มประสิทภาพในการประมวลผลกราฟิกให้สูงขึ้นอีกด้วย
PCI Express
ชิปประมวลผลกราฟิก
(GPU: Graphic Proessing Unit)
เป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดบนตัวการ์ด
ทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลด้านกราฟิกโดยเฉพาะ
ซึ่งช่วยลดภาระในการทำงานของซีพียูลงรวมทั้งเพิ่มความเร็วในการแสดงภาพ 2 และ 3 มิติทั้งภาพนิ่งและภาพเครื่องไหวบนจอแสดงผลปัจจุบันบริษัทที่แข่งขันกันผลิตชิปประมวลผลกราฟิกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการนำไปใช้ประมวลผลภาพกราฟิกแบบ 3 มิติสำหรับเกมต่างๆที่ผู้ใช้โดยทั่วไปไปรู้จักกันดีมีอยู่ 2 บริษัทใหญ่ คือ nVIDIA ผุ้ผลิตชิปประมวลผลกราฟิกในตะกูล GeForce ซีรี่ส์ต่างๆ เช่น Series 7 และ 6 รุ่น 7950, 7900, 6800 และ 6600 เป็นต้น และ บริษัท ATI ผูเผลิตชิปประมวลผลกราฟิกในตระกูล Radeon ซีรี่ส์ต่างๆ เช่น Series X1900, X1800, X800 และ X550 เป็นต้น
ชิปประมวลผลกราฟิก (GPU: Graphic Proessing Unit)
หน่วยความจำบนตัวการ์ด
(VIRAM
: Video RAM)
ทำหน้าที่รับเอาข้อมูลภาพที่ถูกส่งมาจากหน่วยประมวลผลกราฟิก
(GPU) มาพักหรือจัดเก็บไว้
เพื่อจะนำไปแสดงผลบนจอภาพในแต่ละเฟรมหรือเรียกว่าเป็น Frame
Buffer นั่นเองหน่วยความจำบนตัวการ์ดนี้จะคอยทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผลกราฟิก(GPU) อยู่อย่างใกล้ชิดแบบเดียวกับหน่วยความจำหลัก
หรือแรมบนเมนบอร์ดทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ดังนั้นถ้า VRAM ยังมีความเร็วและมีความจุสูงมากขึ้นเท่าไร
ก็จะยิ่งช่วยให้การแสดงผลบนจอภาพมีตั่งแต่ SDRAM, RDRAM, DDR-SDRAM,
DDR2 และ DDR3 (GDDR3) ซึ่งแต่ละชนิดต่างก็มีประสิทธิภาพ
และราคาที่แตกต่างกันไป
หน่วยความจำบนตัวการ์ด
(VIRAM : Video RAM)
ตัวแปลงสัญญาณสู่จอภาพ
(RAMDAC)
RAMDAC หรือ RAM
Digital-to-Analog Convertor เป็นชิปที่ทำหน้าที่แปลงข้อมูลดิจิตอลใน RAM ให้เป็นสัญญาณอนาล็อกเพื่อส่งไปยังจอภาพ โดยการวนอ่านข้ อมูลซ้ำๆกันไปเรื่อยๆตามอัตรา Refresh
Rate ซึ่งยิ่งตั่งให้สูงเท่าไรก็ต้แงทำงานเร็วขึ้นเท่านั้น
เช่น Refresh Rate 75 Hz ก็คือ RAMDAC จะต้องวนอ่านข้อมูลไปสร้างภาพซ้ำๆกัน 75 ครั้งต่อวินาทีตามไปด้วยดังนั้นยิ่ง RAMDAC มีความเร็วสูงมากก็ยิ่งรับ Refresh Rate ได้สูงตามไปด้วย
เช่น RAMDAC ที่ 300 MHz ก็น่าจะให้ภาพที่มีคุณภาพดีกว่ารุ่นที่มีความเร็วแค่ 150
MHz เป็นต้น
ตัวแปลงสัญญาณสู่จอภาพ (RAMDAC)
ช่องช่องสัญญาณหรือช่องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ
เป็นช่องต่างๆของการ์ดจอที่เอาไว้เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ภายนอกเช่นจอภาพ(CRT/LCD) จอโทรทัศน์ และกล้องถ่ายวิดิโอ เป็นต้น
สำหรับการ์ดจอโดยทั่วๆไปในปัจจุบันมักจะมีช่องต่างๆดังนี้
ช่องช่องสัญญาณหรือช่องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ
D-Sub
(VGA) หรือ VGA Connector
เป็นคอนเน็คเตอร์แบบ 15-Pin รูปตัว D มักพบเห็นได้ทั่วไป
ใช้สำหรับสีญญาณภาพแบบอนาล็อก (Analog) ที่ต่อจากการ์ดแสดงผลไปยังจอภาพ
ซึ่งต่อชนิดนี้จะมีทั้งที่ใช้กับจอ CRT, LCD และ Projector ด้วย
DVI Connector
ใช้สำหรับการส่งสัญญาณภาพแบบดิจิตอล
(Digital) ไปยังจอภาพ
ซึ้งจอภาพที่ใช้จะต้องเป็นแบบที่รับสัญญาณดิจิตอลได้ด้วยเช่นกัน
ข้อดีคือไม่ต้องผ่านการแปลงให้เป็นสัญญาณอนาล็อกก่อน
ภาพได้จึงนิ่งสนิทและมีความเพี้ยนน้อยที่สุด ปัจจุบันมักพบเห็นได้ทั่วไปบนการ์ดแสดงผลจอ LCD รุ่นใหม่ๆ
DVI Connector
การ์ด
แสดงผลในปัจจุบันถูกพัฒนาให้มีความสามารถมากขึ้น
มีการการ์ดเพื่องานเฉพาะด้านหลากหลายชนิด
โดยการ์ดเหล่านี้จะมีชิปประมวลผลบนตัวการ์ด
เพื่อจะช่วยให้งานประมวลผลทางด้านกราฟฟิก 3 มิติ
สามารถทำได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยคุณสมบัติที่หลากหลายของการ์ดแสดงผลในปัจจุบัน
ทำให้ขอบเบตการใช้งานของมันไม่ได้เพียงใช้เล่นเกมส์ หรือใช้งานด้านเอกสารเท่านั้น
ความสามารถที่มีอยู่ในตัวเครื่องระดับ Workstation ที่ ใช้ในงานด้านกราฟฟิกระดับสูงได้ถูกรวมเอาไว้ในการ์ดแสดงผลด้วย
ทำให้ผู้ที่ต้องการใช้งานด้านกราฟฟิกสามารถเลือกใช้ได้ตามความเหมาะสม
ทั้งนี้การ์ดแสดงผลสามารถแบ่งประเภทได้ตามลักษณะการใช้งานต่าง ๆ ดังนี้
1. ใช้ในการเอกสารทั่วไปและอินเตอร์เน็ต
การใช้คอมพิวเตอร์ทำงานด้านเอกสาร เช่น ชุดโปรแกรม Microsoft
Office เป็น งานที่ไม่เน้นการแสดงผลด้านกราฟฟิกสูงมาก
ซึ่งสามารถใช้การ์ดแสดงผลระดับขั้นพื้นฐานทั่ว ๆ ไป ก็เพียงพอแล้วสำหรับงานประเภทนี้
ข้อสำคัญก็คือ
การ์ดแสดงผลที่จะนำมาใช้กับงานด้านนี้ต้องสามารถรองรับความละเอียดสูงพอที่
จะดูรายละเอียดของงานด้านเอกสารได้ และมีความสามารถในการรองรับ Refresh
Rate สูงได้
คุณสมบัคิต่างเหล่านี้จะช่วยถนอมสายตาของผู้ใช้งานเมื่อต้องนั่งทำงานอยู่กับหน้าจอเป็นเวลานานๆ
2. ใช้ในงานกราฟฟิก 2 มิติ/ตัดต่อภาพวิดีโอ
การ์ดแสดงผลประเภทนี้ใช้ในงานแสดงภาพเคลื่อนไหวประเภท 2 มิติ การตัดต่อวิดีโอ รวมทั้งงานด้านออกแบบตกแต่งภาพ 2 มิติ การ์ดประเภทนี้จะต้องมีความสามารถในการประมวลผลที่รวดเร็ว
และสามารถรองรับการทำงานในโหมด 24 บิต (True
Color) และสามารถปรับรายละเอียดของภาพได้ 1,024 x
768 เป็นอย่างต่ำ
ส่วนงานด้านการตัดต่อวิดีโอต้องใช้ฮาร์ดแวร์ที่มีคุณสมบัติของ Video
Capture จึงจะสามารถจับสัญญาณจากวิดีโอเข้ามายังคอมพิวเตอร์โดยผ่านช่องสัญญาณAV บนตัวการ์ดได้
3. ใช้ในงานออกแบบการฟฟิก 3 มิติ/เขียนแบบ CAD/CAM เหมาะสำหรับนักออกแบบกราฟฟิก 3 มิติ การใช้งานโปรแดรม 3D Studio หรือ AutoCAD จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเลือกใช้ Hardware ที่มีคุณสมบัติด้านภาพ 3 มิติอย่างครบครัน การ์ดสำหรับงานกราฟฟิก 3 มิตินี้จะไม่เหมือนกับการ์ด 3 มิติที่ใช้สำหรับการเล่นเกม 3 มิติตรงที่มันสามารถรองรับการทำงานของ OpenGl (โอเพนจีแอล OpenGL, เป็นตัวย่อของคำว่า Open Graphics Library) เป็นไลบรารีหรือคลังโปรแกรม(หรือชุดคำสั่ง)ด้านกราฟิกสามมิติ เพื่อส่งคำสั่งควบคุมการวาดภาพไปยังอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์การประมวลผลภาพ โอเพนจีแอลสามารถใช้ได้ใน หลายระบบคอมพิวเตอร์ ในการเขียนโปรแกรมด้านคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ โดยในคลังโปรแกรมจะมีชุดคำสั่งมีมากกว่า 250 ช่วย ในการสร้างวัตถุ แปลงวัตถุ และสร้างภาพโดยให้แสงและเงา โดยเริ่มจากการกำหนดรูปทรงพื้นฐาน เช่น สี่เหลี่ยมลูกบาศก์หรือทรงกลม โอเพนจีแอลเป็นที่นิยมมากในอุตสาหกรรมผลิตแอนิเมชันวีดีโอเกม โดยในขณะเดียวกันก็เป็นคู่แข่งทางการค้ากับไดเร็กท์ทรีดี ( Direct3D) ของบริษัทไมโครซอฟท์) นอก จากการพัฒนาเพื่อวีดีโอเกม โอเพนจีแอลยังใช้ในทางด้านอื่นๆ รวมถึงการ การประมวลผลภาพ งานจำลองการทดลองเชิงวิทยาศาสตร์ และ การแสดงภาพจำลองในระบบสารสนเทศ ได้ในทุก ๆ ฟังก์ชั่น รวมไปถึงความคมชัดและถูกต้องของสีที่ได้จะเป็นตัวกำหนดคุณภาพของการ์ดแต่ละ รุ่น นอกจากนั้นการใช้งานด้านนี้ต้องการปริมาณของวิดีโอแรมมากกว่างานด้านอื่น ๆ จึงทำให้การ์ดบางรุ่นที่มีประสิทธิ
3. ใช้ในงานออกแบบการฟฟิก 3 มิติ/เขียนแบบ CAD/CAM เหมาะสำหรับนักออกแบบกราฟฟิก 3 มิติ การใช้งานโปรแดรม 3D Studio หรือ AutoCAD จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการเลือกใช้ Hardware ที่มีคุณสมบัติด้านภาพ 3 มิติอย่างครบครัน การ์ดสำหรับงานกราฟฟิก 3 มิตินี้จะไม่เหมือนกับการ์ด 3 มิติที่ใช้สำหรับการเล่นเกม 3 มิติตรงที่มันสามารถรองรับการทำงานของ OpenGl (โอเพนจีแอล OpenGL, เป็นตัวย่อของคำว่า Open Graphics Library) เป็นไลบรารีหรือคลังโปรแกรม(หรือชุดคำสั่ง)ด้านกราฟิกสามมิติ เพื่อส่งคำสั่งควบคุมการวาดภาพไปยังอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์การประมวลผลภาพ โอเพนจีแอลสามารถใช้ได้ใน หลายระบบคอมพิวเตอร์ ในการเขียนโปรแกรมด้านคอมพิวเตอร์กราฟิกส์ โดยในคลังโปรแกรมจะมีชุดคำสั่งมีมากกว่า 250 ช่วย ในการสร้างวัตถุ แปลงวัตถุ และสร้างภาพโดยให้แสงและเงา โดยเริ่มจากการกำหนดรูปทรงพื้นฐาน เช่น สี่เหลี่ยมลูกบาศก์หรือทรงกลม โอเพนจีแอลเป็นที่นิยมมากในอุตสาหกรรมผลิตแอนิเมชันวีดีโอเกม โดยในขณะเดียวกันก็เป็นคู่แข่งทางการค้ากับไดเร็กท์ทรีดี ( Direct3D) ของบริษัทไมโครซอฟท์) นอก จากการพัฒนาเพื่อวีดีโอเกม โอเพนจีแอลยังใช้ในทางด้านอื่นๆ รวมถึงการ การประมวลผลภาพ งานจำลองการทดลองเชิงวิทยาศาสตร์ และ การแสดงภาพจำลองในระบบสารสนเทศ ได้ในทุก ๆ ฟังก์ชั่น รวมไปถึงความคมชัดและถูกต้องของสีที่ได้จะเป็นตัวกำหนดคุณภาพของการ์ดแต่ละ รุ่น นอกจากนั้นการใช้งานด้านนี้ต้องการปริมาณของวิดีโอแรมมากกว่างานด้านอื่น ๆ จึงทำให้การ์ดบางรุ่นที่มีประสิทธิ
ภาพสูงราคาอาจจะสูงถึงหลักแสนก็เป็นได้
4. ใช้เพื่อเล่นเกมส์ 3 มิติ
การแสดงภาพของเกมส์คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันล้วนแล้วเน้นไปทางด้านภาพกราฟฟิก 3 มิติ กันมากขึ้น
ซึ่งต้องอาศัยคุณสมบัติเฉพาะของการ์ดแสดงผลที่ช่วยเร่งความเร็วในการแสดงผล
ของแต่ละฉากของเกมส์เพื่อให้แต่ละเฟรมลื่นไหลไม่เกิดอาการสะดุด
ซึ่งการ์ดแสดงผลที่นิยมสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันได้แก่การ์ดตระกูล GeForce ซึ่งมีจุดเด่นในด้านความเร็วและการสนับสนุนทางด้าน Driver ที่ดีจึงสามารถรองรับการทำงานของเกมส์ได้แทบจะทั้งหมด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น